วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

การจัดการธาตุอาหารพืชในการผลิตไม้ดอก


พืชทุกชนิดรวมทั้ง 'ไม้ดอก' ล้วนมีความต้องการ
ธาตุอาหารพืชเพื่อสร้างการเจริญเติบโตและการ
ให้ผลผลิตแตกต่างกันออกไป
ตามระยะการเจริญเติบโตของพืช โดยที่พืชจะมี
การสะสมอาหาร ในระยะการเจริญเติบโต
ทางลำต้น เพื่อสร้างความพร้อมในการให้ผลผลิต
และเมื่อพืชสะสมอาหารเพื่อสร้างพลังงานได้อย่าง
เพียงพอ พืชจะเริ่มออกดอก ซึ่งเป็นช่วงขยายพันธุ์
หากเกสรตัวผู้และตัวเมียผสมกันได้อย่างสมบูรณ์
ไม้ดอกจะเริ่มเข้าสี กลิ่นและขยายขนาดของดอก
เพื่อเข้าสู่ระยะเก็บเกี่ยวผลผลิต

หลักการให้ธาตุอาหารพืช ควรให้น้อย บ่อยครั้ง
เพิ่มปริมาณการใช้เมื่อแสดงอาการขาดแคลน
ลดปริมาณการใช้เมื่อแสดงอาการเป็นพิษ
หากใส่ธาตุอาหารพืชทางดิน ควรมีการ
ปรับความเป็นกรด-ด่างของดิน (pH)
เพื่อส่งเสริมการละลายของธาตุอาหารพืชในดิน
ออกมาให้พืชได้ใช้ประโยชน์สูงสุด
หากฉีดพ่นทางใบ ควรใช้แม่ปุ๋ยหรือปุ๋ยผสม
สูตรที่เหมาะสมกับระยะการเจริญเติบโตของพืช
อัตราการใช้ ความถี่ในการฉีดพ่น สภาพแวดล้อม
หากสภาพอากาศร้อน แล้ง ปากใบปิด
ควรงดการฉีดพ่นปุ๋ยทางใบ เนื่องจากสิ้นเปลือง
ธาตุอาหารพืชไม่สามารถซึมผ่านเข้าทางปากใบ
ให้เลี่ยงมาฉีดพ่นในตอนเช้ามืดที่มีอุณหภูมิต่ำ
และมีความชื้นสูง ซึ่งเป็นสภาวะที่ปากใบพืชเปิด
มีความพร้อมในการดูดซับธาตุอาหารได้สูงสุด
อีกทั้งแม่ปุ๋ยไนโตรเจนก็มีผลทำให้ใบพืชไหม้ได้

ระดับ pH ดินที่เหมาะสมต่อการปลดปล่อย
ธาตุอาหารพืชอยู่ที่ระดับ 6.5-7.0 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
ธาตุอาหารที่พืชต้องการในช่วงเวลานั้นๆ
การมีปริมาณที่เพียงพอของธาตุหนึ่ง
อาจมีผลในการลดปริมาณของอีกธาตุหนึ่ง
หากพบอาการขาดธาตุชนิดใดชนิดหนึ่ง
ก็สามารถฉีดพ่นเสริมปุ๋ยทางใบได้เช่นกัน
การควบคุม pH ดิน ซึ่งในประเทศไทยมักจะพบ
ลักษณะดินที่มีความเป็นกรด สามารถแก้ไขได้
โดยใส่ธาตุปูนลงในดิน อาทิ
ปูนขาว ปูนมาร์ล ยิปซั่ม โดโลไมท์

ปุ๋ยอินทรีย์ก็มีส่วนสำคัญต่อการปรับ pH ในดิน
รักษาสภาพโครงสร้างของดินให้โปร่ง ร่วนซุย
ระบายน้ำดี ไม่ท่วมขัง รากพืชสามารถชอนไช
หาอาหารเพื่อสร้างการเจริญเติบโตได้ดี
รวมทั้งรักษาระดับธาตุอาหารพืชในดินมิให้ขาด
เพื่อให้เพียงพอต่อปริมาณการใช้ของพืช
ตลอดอายุการเก็บเกี่ยวในฤดูปลูก

Home               Content

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ลักษณะอาการขาดธาตุอาหารของพืช


อาการขาดธาตุอาหารของพืช

ไนโตรเจน (N) อาการขาด จะเจริญเติบโตช้า ใบบางมีสีเหลืองซีดทั้งแผ่น ใบต่อมากลายเป็นสีน้ำตาลและร่วงหล่น หลังจากนั้นใบด้านบนก็จะทะยอยเปลี่ยนเป็นสีเหลือง

วิธีแก้ ใช้ปุ๋ยเคมี หรือปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0), ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0+s) เป็นต้น

ฟอสฟอรัส (P) อาการขาด ใบล่างเริ่มเป็นสีม่วงตามแผ่นใบ ต่อมาใบเป็นสีน้ำตาลร่วงหล่น ลำต้นแคระแกร็น ไม่ผลิตดอกออกผล เนื้อไม้เปราะหักง่าย

วิธีแก้ ใส่ปุ๋ยทริปเปิล ซุเปอร์ฟอสเฟต หรือถ้าอาการไม่หนักมากใส่ ร้อคฟอสเฟต (0-3-0), ปรับ pH ของดินให้อยู่ระหว่าง 6-5 - 7, ใส่ปุ๋ยเม็ดเป็นแถบเพื่อลดพื้นที่สัมผัสระหว่างปุ๋ยฟอสเฟตกับดิน เนื่องจากดินจะตึงธาตุ P ได้ดีกว่าธาตุอื่น, เพิ่มปริมาณอินทรีย์วัตถุให้ดินอยู่เสมอ

โพแทสเซียม (K) ใบล่างมีอาการซีดเหลืองแล้วกลายเป็นสีน้ำตาลตามขอบใบ จากนั้นลุกลามเข้ามาเป็นหย่อม ๆ ตามแผ่นใบ อาจพบว่าแผ่นใบโค้งเล็กน้อย รากเจริญเติบโตช้า ลำต้นอ่อนแอ และผลไม่โต

วิธีแก้ ในปุ๋ย โพแทสเซียมคลอไรด์ (0-0-60) อาการขาดแคลนมักเกิดในดินทราย

แคลเซียม (Ca) อาการ ใบอ่อนหงิก ตายอดไม่เจริญเติบโต อาจมีจุดดำที่เส้นใบ รากสั้น ผลแตก และคุณภาพผลผลิตต่ำ
วิธีแก้ ใส่ปูนขาว หินปูนบด และปูนมาร์ล สำหรับดินกรด, ใส่ปุ๋ยแคลเซียมไนเตรต อาการขาดมักเกิดในดินกรด

แมกนีเซียม (Mg) อาการ ใบแก่จะเหลือง ยกเว้นเส้นใบ และใบร่วงหล่นเร็ว ต้นทรุดโทรมผลผลิตลดลง
วิธีแก้ ปรับสภาพดินให้ pH อยู่ ระหว่าง 6.5 - 7, ฉีดพ่นปุ๋ยที่มีแมกนีเซียมทางใบ ไม่มากจนเกินไป

การที่พืชมีแคลเซียมในดินมากเกินไปทำให้พืชขาดธาตุแมกนีเซียมได้ และมักขาดในดินกรด

กำมะถัน (S) อาการ ทั้งใบบน และใบล่างมีสีเหลืองซีด และต้นอ่อนแอ
วิธีแก้ ใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0+s) , ใส่ปุ๋ยอื่นๆที่มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบ เช่นยิบซัม อาการขาดมักเกิดในดินทรายที่มีอินทรีย์วัตถุน้อย

โบรอน (B) อาการ เริ่มแรกจะพบได้ที่ยอดและใบอ่อนก่อน ตายอดตายแล้วเริ่มมีตาข้าง แต่ตาข้างจะตายอีก ลำต้นไม่ค่อยยืดตัว กิ่งและใบจึงชิดกัน ใบเล็ก หนา โค้ง และเปราะ ผลเล็กและแข็งผิดปกติ มีเปลือกหนา บางครั้งผลแตกเป็นแผลได้ สำหรับพืชจะเกิดจุดสีน้ำตาลหรือดำในส่วนต่าง ๆ ของต้น โดยเฉพาะที่หัว
วิธีแก้ ฉีดพ่นธาตุอาหารเสริมที่มี โบรอน ทางใบ เป็นวิธีที่ดีที่สุด ดินด่างอาจเป็นสาเหตุของการขาดธาตุโบรอนได้ และแสดงอาการเด่นชัดมากเมื่อกระทบแล้ง หรือขาดน้ำมาก ๆ และมักเจออาการขาดในดินที่มีอินทรีย์วัตถุต่ำ

ทองแดง (Cu) อาการ ยอดตาชะงักการเจริญเติบโตและกลายเป็นสีดำ ใบอ่อนเหลือง พืชทั้งต้นชะงักการเจริญเติบโต
วิธีแก้ ฉีดพ่นธาตุอาหารพืชที่มีธาตุทองแดงทางใบ มักขาดแคลนในดินด่าง

เหล็ก (Fe) อาการ ใบอ่อนมีสีขาวซีด ในขณะที่ใบแก่ยังเขียว ปริมาณผลผลิตลดลง ขนาดของผลเล็กและผิวไม่สวย
วิธีแก้ ฉีดพ่นธาตุอาหารเสริมที่มีธาตุเหล็กทางใบ มักขาดแคลนในดินด่าง หรือเมื่อใส่ปูนมากเกินไป

แมงกานีส (Mn) อาการ ใบอ่อนมีสีเหลืองในขณะที่เส้นใบยังสีเขียว ต่อมาใบที่มีอาการดังกล่าวจะเหี่ยวและร่วงหล่น
วิธีแก้ ฉีดพ่นธาตุอาหารที่มี แมงกานีสทางใบ หากดินเป็นด่างหรือใส่ปูนขาวมากเกินไป มักทำให้ขาดธาตุแมงกานีส

โมลิบดินัม (Mo) อาการ คล้ายกับขาดไนโตรเจน (N) ใบมีลักษณะโค้งคล้ายถ้วย ปรากฎจุดเหลือง ๆ ตามแผ่นใบ
วิธีแก้ ฉีดพ่นธาตุอาหารที่มีโมลิบดินัมทางใบ มักขาดแคลนในดินที่เป็นกรด และอินทรีย์วัตถุต่ำ

สังกะสี (Zn) อาการ ใบอ่อนมีสีเหลืองซีด และปรากฎสีขาว ๆ ประปรายตามแผ่นใบ โดยเส้นใบยังเขียว รากสั้น ไม่เจริญเติบโตตามปกติ
วิธีแก้ ฉีดพ่นธาตุอาหารเสริมทางใบ ที่มีธาตุสังกะสี หากใช้ปุ๋ยไนโตรเจนและฟอสฟอรัสมากเกินไป จะทำให้พืชนำธาตุสังกะสีที่ดูดได้ไปใช้ยากขึ้น

คลอรีน (Cl) อาการ พืชเหี่ยวง่าย ใบมีสีซีด และบางส่วนแห้งตาย แต่ไม่ค่อยจะแสดงอาการขาด มักจะมีอยู่ในดินอย่างเพียงพอ

Home               Content

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2562

สูตรคำนวณปุ๋ยสั่งตัด


การคำนวณปริมาณการใช้แม่ปุ๋ยเพื่อผลิต
ปุ๋ยสั่งตัดทำได้ง่ายๆ ตามวิธีการข้างล่างนี้

ตัวอย่างสูตรปุ๋ยที่ต้องการ 14-14-21

แม่ปุ๋ยที่เลือกใช้

Urea 46-0-0
DAP 18-46-0
MOP 0-0-60

เพื่อให้ได้ P 46 กก ต้องใช้แม่ปุ๋ย DAP 100 กก
เพื่อให้ได้ P    1 กก ต้องใช้แม่ปุ๋ย DAP (100*1)/ 46 = 2.17 กก
เพื่อให้ได้ P  14 กก ต้องใช้แม่ปุ๋ย DAP (2.17*14) = 30.43 กก

เพราะฉะนั้น ต้องใช้แม่ปุ๋ย DAP 30 กก ----- (1)

แม่ปุ๋ย DAP 100 กก มีปริมาณธาตุ N 18 กก
แม่ปุ๋ย DAP      1 กก มีปริมาณธาตุ N (18*1)/ 100 = 0.18 กก
แม่ปุ๋ย DAP   30 กก มีปริมาณธาตุ N (0.18*30) = 5.48 กก

ต้องการ N 14 กก;
ปริมาณธาตุ N ที่ติดมากับ DAP 5.48 กก
ยังขาด N (14-5.48) = 8.52 กก

เพื่อให้ได้ N 46 กก ต้องใช้แม่ปุ๋ย Urea 100 กก
เพื่อให้ได้ N    1 กก ต้องใช้แม่ปุ๋ย Urea (100*1)/ 46 = 2.17 กก
เพื่อให้ได้ N 8.52 กก ต้องใช้แม่ปุ๋ย Urea (2.17*8.52) = 18.52 กก

เพราะฉะนั้น ต้องใช้แม่ปุ๋ย Urea 19 กก ----- (2)

เพื่อให้ได้ K 60 กก ต้องใช้แม่ปุ๋ย MOP 100 กก
เพื่อให้ได้ K    1 กก ต้องใช้แม่ปุ๋ย MOP (100*1)/ 60 = 1.67 กก
เพื่อให้ได้ K 21 กก ต้องใช้แม่ปุ๋ย MOP (1.67*21) = 35 กก

เพราะฉะนั้น ต้องใช้แม่ปุ๋ย MOP 35 กก ----- (3)

ปริมาณการใช้แม่ปุ๋ย DAP 30 กก
ปริมาณการใช้แม่ปุ๋ย Urea 19 กก
ปริมาณการใช้แม่ปุ๋ย MOP 35 กก

เติม Filler; 100-(30+19+35) = 16 กก ---- (4)

Home               Content

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2562

การใช้ประโยชน์ปุ๋ยสั่งตัด


เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้วัตถุดิบ
เกษตรกรสามารถผสมปุ๋ยใช้เอง
ตามความต้องการของพืชในแต่ละระยะ
การเจริญเติบโต

แม่ปุ๋ยที่นิยมนำมาใช้ผสม อาทิ

46-0-0 Urea
35-0-0 Ammonium Nitrate
21-0-0 Ammonium Sulphate
15-0-0 Calcium Nitrate
18-46-0 Diammonium Phosphate
13-0-46 Potassium Nitrate
12-60-0 Monoammonium Phosphate
0-52-34 Monopotassium Phosphate
0-0-60 Potassium Phosphate
0-0-50 Potassium Sulphate

การเลือกใช้แม่ปุ๋ย ขึ้นอยู่กับความต้องการ
ธาตุอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งของพืชในช่วงเวลานั้น

เกษตรกรสามารถใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก
เป็นสารตัวเติม (Filler) เพื่อเสริมประสิทธิภาพ
การละลายของปุ๋ยให้พืชดูดกินได้มากขึ้นด้วย

การคำนวณสูตรปุ๋ยเพื่อหาปริมาณการใช้แม่ปุ๋ย
ทำได้โดยใช้บัญญัติไตรยางค์เปรียบเทียบสัดส่วน

แม่ปุ๋ยที่นิยมใช้กันบ่อย เพราะราคาถูก หาง่าย

46-0-0
18-46-0
0-0-60

เกษตรกรสามารถเลือกใช้แม่ปุ๋ยอื่นๆ ตามความ
ต้องการ โดยดูจากธาตุอาหารรอง/ เสริมที่ได้รับ
ความหาง่ายในท้องตลาด หรือราคาต้นทุน

เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
ควรรีบนำมาใช้ทันทีภายหลังการผสม
เพื่อลดการสูญเสียปริมาณธาตุอาหารพืช
จากสภาพแวดล้อมและการเก็บรักษา

Home               Content

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2562

คุณประโยชน์ของธาตุอาหารพืช


ธาตุอาหารพืชแต่ละชนิดล้วนมีหน้าที่สำคัญ
ทำงานร่วมกัน สังเคราะห์ธาตุอาหารพืชชนิดอื่น
สร้างภูมิต้านทานการเกิดโรคและสภาวะเครียด
สังเคราะห์และรักษาระดับฮอร์โมนพืชที่มีหน้าที่
สร้างการเจริญเติบโต ขยายพันธุ์ เพิ่มปริมาณ
และควบคุมคุณภาพผลผลิต

คาร์บอน (C)
ไฮโดรเจน (H)
ออกซิเจน (O)

ไนโตรเจน (N)
สังเคราะห์ฮอร์โมนพืช Auxin, Cytokinin
สร้างการเจริญเติบโตทางปลายยอดและกิ่งก้าน
ควบคุมการออกดอกและการติดผลผลิต
ขยายขนาดผลผลิตในระยะเก็บเกี่ยว

ฟอสฟอรัส (P)
ถ่ายเทพลังงานที่ใช้เจริญเติบโตและขยายพันธุ์
ควบคุมการออกดอก ออกผลและการสร้างเมล็ด
เพิ่มปริมาณและทำให้รากพืชยืดยาว
พืชดึงดูดธาตุ Potassium มาใช้ได้มากขึ้น
สร้างความสามารถในการหาอาหารของรากพืช
ลำต้นพืชตระกูลข้าวแข็งแรงไม่ล้มง่าย
ช่วยให้พืชสามารถต้านทานโรคได้บางชนิด

โปตัสเซียม (K)
ส่งเสริมการเคลื่อนย้ายน้ำตาลจากใบ
มาเลี้ยงดอกและบำรุงผล ช่วยให้รากพืชแข็งแรง
เพิ่มคุณภาพผลผลิต สีสัน ขนาด ความหวาน
พืชต้านทานโรคบางชนิดและดินฟ้าอากาศ

แคลเซียม (Ca)
การปฏิสนธิสมบูรณ์ ดอกพัฒนาเป็นผลและเมล็ด
ช่วยให้เมล็ดมีความงอกที่ดี
พืชต้านทานสภาวะวิกฤติ Oxidative Stress
ช่วยให้พืชนำ Nitrogen จากดิน
มาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น

แมกนีเซียม (Mg)
เป็นส่วนประกอบของส่วนที่เป็นสีเขียว
ที่มีหน้าที่สร้างอาหารและโปรตีน
สังเคราะห์กรดอะมิโน วิตามิน ไขมัน และน้ำตาล
ช่วยให้เมล็ดมีความงอกที่ดี

กำมะถัน (S)
เป็นธาตุที่เป็นองค์ประกอบในการสร้างโปรตีน
กรดอะมิโน และวิตามินที่สร้างส่วนสีเขียว
ช่วยการหายใจ และการสังเคราะห์อาหาร

เหล็ก (Fe)
สังเคราะห์ Chlorophyll รวมทั้ง ฮอร์โมนพืช
Gibberellin, Ethylene และ Jasmonic acid
ควบคุมปริมาณ IAA สร้างการเจริญทางลำต้น
ควบคุมการสุกแก่ สร้างภูมิต้านทานให้กับพืช
กระตุ้นความงอกของเมล็ด

แมงกานีส (Mn)
ควบคุมกิจกรรมของธาตุเหล็กและไนโตรเจน
สังเคราะห์ฮอร์โมนพืช Gibberellin รวมทั้งเป็น
องค์ประกอบการสร้าง IAA ในพืช สร้างช่อดอก
เรณูแข็งแรง กระตุ้นการปลดปล่อย Oxygen
ที่ใช้ในการสังเคราะห์แสง รากยืดตัวดี

ทองแดง (Cu)
เพิ่มพื้นที่ใบ สร้าง Chlorophyll สังเคราะห์แสง
เพื่อเข้าสู่ระยะใบเพสลาด ส่วนขยายพันธุ์แข็งแรง
ปฏิสนธิอย่างสมบูรณ์ เพิ่มการติดผลในพริก
ช่วยให้ดึงดูดธาตุเหล็กมาใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้น
ป้องกันการเกิดโรคราและแบคทีเรียบางชนิด

สังกะสี (Zn)
สังเคราะห์ IAA กระตุ้นการยืดยาวทางลำต้น
เพิ่มพื้นที่ใบ สร้าง Chlorophyll สังเคราะห์แสง
เพื่อเข้าสู่ระยะใบเพสลาด ส่วนขยายพันธุ์แข็งแรง
ปฏิสนธิอย่างสมบูรณ์ เพิ่มปริมาณองุ่นดอกบาน
สังเคราะห์ Carbon, Oxygen เพื่อสร้างน้ำตาล
ที่ใช้ในการสังเคราะห์แสง ฉีดพ่นทางใบเพื่อ
ขยายขนาดทรงพุ่ม เพิ่มความสูงของต้น

โบรอน (B)
ควบคุมปริมาณ IAA ที่สร้างการเจริญทางลำต้น
ผนังเซลล์พืชมีความยืดหยุ่นแข็งแรง ออกดอกดี
ดอกเยอะ ดอกใหญ่ ส่วนขยายพันธุ์แข็งแรง
ส่งเสริมการทำงานร่วมกันของ Calcium-Nitrogen
และการดูดธาตุ Potassium มาใช้ประโยชน์
ส่งเสริมการย่อยโปรตีน, คาร์โบไฮเดรต
เพื่อใช้ในการสังเคราะห์แสง ควบคุมการดูดและ
คายน้ำในขบวนการปรุงอาหาร ควบคุมการ
เคลื่อนย้ายน้ำตาลจากใบมาเลี้ยงดอก บำรุงผล
เพิ่มความสามารถของรากพืชในการดูด
ธาตุอาหารและการตรึงไนโตรเจน

โมลิบดีนัม (Mo)
ทำให้การการทำงานของ Nitrogen สมบูรณ์ขึ้น
ใช้ Nitrate สังเคราะห์โปรตีน สร้างส่วนสีเขียว
เกสรตัวผู้แข็งแรง พร้อมที่จะผสมกับเกสรตัวเมีย
ช่วยให้เมล็ดพืชแข็งแรง (Seed Vigor)

คลอรีน (Cl)
มีความสำคัญต่อกระบวนการสังเคราะห์แสง
ช่วยให้พืชแก่เร็วขึ้น ส่งเสริมการทำงาน
ของฮอร์โมนพืช ส่งเสริมการทำงานของ
Potassium ในการควบคุมการปิด-เปิดปากใบ

นิเกิ้ล (Ni)
เป็นสารสำคัญของเอ็นไซม์ที่ช่วยปลดปล่อย
ธาตุไนโตรเจนให้อยู่ในรูปที่พืชนำไปใช้ได้
เพิ่มอัตราการงอกของเมล็ดและสร้างความ
แข็งแรงให้กับต้นอ่อนพืช

ธาตุอาหารพืชอื่นๆ

ซิลิก้า (Si)
เป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์พืช ขยายเซลล์
พืชเจริญเติบโต สร้างภูมิต้านทาน ป้องกัน
โรค แมลง พืชไม่หักล้มง่ายเมื่อมีการยืดตัว
อย่างรวดเร็ว ท่อน้ำเลี้ยงยืดขยายอย่างแข็งแรง
พืชทนทานต่อสภาวะอากาศที่แปรปรวน
ส่งเสริมให้ฟอสฟอรัสในดินละลายออกมาดีขึ้น

Home               Content

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2562

ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อพืช


ธาตุอาหารที่พืชนำมาใช้งาน เพื่อสร้างการ
เจริญเติบโตและให้ผลผลิต มีด้วยกัน 17 ธาตุ
แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่
ตามปริมาณความต้องการของพืช ดังนี้

ธาตุอาหารหลัก (Macro Nutrients)
ธาตุอาหารรอง (Micro Nutrients)
ธาตุอาหารเสริม (Trace Elements)

ธาตุอาหารหลัก (Macro Nutrients) 6 ธาตุ ได้แก่

คาร์บอน (C), ไฮโดรเจน (H), ออกซิเจน (O)
ไนโตรเจน (N), ฟอสฟอรัส (P), โปตัสเซียม (K)

ธาตุอาหารรอง (Micro Nutrients) 3 ธาตุ ได้แก่

แคลเซียม (Ca), แมกนีเซียม (Mg), กำมะถัน (S)

ธาตุอาหารเสริม (Trace Elements) 8 ธาตุ ได้แก่

เหล็ก (Fe), แมงกานีส (Mn), ทองแดง (Cu),
สังกะสี (Zn), โบรอน (B), โมลิบดีนัม (Mo),
คลอรีน (Cl), นิเกิ้ล (Ni)

ตลอดอายุการเจริญเติบโตของพืช
เริ่มตั้งแต่สร้างการเจริญเติบโต ขยายพันธุ์
ให้ผลผลิต รวมทั้งการสร้างความแข็งแกร่ง
ทนทาน สร้างภูมิคุ้มกันต้านทานศัตรูพืช
พืชจะขาดธาตุอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไปไม่ได้
เพราะธาตุอาหารพืชทุกชนิดมีส่วนสำคัญในการ
สร้างองค์ประกอบทางกายภาพ เคมีและชีวภาพ
ของทุกช่วงการเจริญเติบโต

หลักการให้ธาตุอาหารพืช
ควรให้น้อยๆ บ่อยๆ ครั้ง ในปริมาณที่พอเหมาะ
ไม่ให้ขาด จนแสดงอาการขาดธาตุ
ไม่ให้เกิน จนแสดงอาการเป็นพิษ
เกษตรกรสามารถใส่ปุ๋ยอินทรีย์ทางดิน
เพื่อปรับสภาพดินให้เหมาะสมต่อการละลาย
ธาตุอาหารพืชในดินออกมาให้พืชดูดกิน
อีกทั้งในปุ๋ยอินทรีย์จะมีธาตุอาหารพืช
ครบชนิดตามความต้องการของพืช
หากไม่เพียงพอก็สามารถเพิ่มธาตุอาหารพืช
โดยการฉีดพ่นปุ๋ยทางใบเสริมได้อีกด้วย

Home               Content

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2562

การจัดการธาตุอาหารพืชอย่างเหมาะสม


การจัดการธาตุอาหารพืชที่เหมาะสม
จะช่วยเพิ่มผลผลิตให้กับพืชปลูกของเรา
อีกทั้งยังช่วยสร้างภูมิต้านทานศัตรูพืช
ได้อย่างมีประสิทธิผล

จุลธาตุหลายชนิดเป็นตัวชักนำ
ให้เกิด "ฮอร์โมนพืช" ในกลุ่ม
"ส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช"
(Plant Growth Regulators) ได้แก่
Auxin, Gibberellin, Cytokinin, Ethylene
รวมทั้งสารสร้างภูมิต้านทานการเกิดโรคพืช
ได้แก่ Salicylic acid, Jasmonic acid เป็นต้น

จุลธาตุเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความสามารถ
ในการให้ผลผลิต โดยสร้างความแข็งแรง
ให้กับดอกตัวผู้และดอกตัวเมีย เพื่อสร้าง
ผลผลิตที่มีคุณภาพในปริมาณที่ต้องการ

จุลธาตุบางชนิดยังมีส่วนสำคัญ
ในการช่วยลดความเครียดให้กับพืช
ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมอีกด้วย

สารกระตุ้นชีวภาพ (Biostimulants)
ก็มีส่วนสำคัญในการสร้างความแข็งแรง
และเพิ่มผลผลิตให้กับพืชผลอย่างมีนัยสำคัญ

การให้ธาตุอาหารพืชทางดิน
จะให้ประสิทธิผลในการดูดเพื่อนำไปใช้สูงที่สุด
โดยรากพืชจะทำหน้าที่ดูดกินธาตุอาหารจากดิน
เพื่อนำไปสร้างการเจริญเติบโตอย่างสมดุล

ในสภาพดินทั่วไปที่มีผลิตภาพไม่เท่าเทียมกัน
การใส่สารปรับปรุงดินที่มากหรือน้อยเกินไป
ล้วนมีผลกระทบต่อการละลายของธาตุอาหารพืช
ให้อยู่ในรูปที่เป็นประโยชน์และพืชนำไปใช้ได้
การฉีดพ่นทางใบจึงเป็นวิธีการที่เหมาะสม
ในสภาวะแวดล้อมที่ยากต่อการควบคุม
โดยใช้หลักการให้ธาตุอาหารพืช
เท่าที่พืชจำเป็นต้องใช้
น้อยๆ บ่อยๆ ครั้ง
ต่อเนื่อง ยาวนาน

สิ่งที่ได้คือ ผลผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น
พืชมีความแข็งแรง ต้านทานโรค แมลงศัตรูพืช
มีศักยภาพที่ให้ผลผลิตในปริมาณสูง  ต่อเนื่อง

Home               Content